ผีไร้หน้า

ผีไร้หน้า เห็นผีครั้งแรก ได้เห็นตลอดไป

เปิดประสบการณ์ ผีไร้หน้า เรื่องหลอนของจริง จุดเริ่มต้นของการเห็นผีครั้งแรก การเปิดตาที่ 3 โดยไม่ทันตั้งตัว สู่คนเห็นผีมาถึงปัจจุบัน

ผีไร้หน้า เรื่องหลอนของจริง จุดเริ่มต้นของการเห็นผีครั้งแรก และตลอดไป 

เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ จากประการจริง จากชายผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ ย้อนไปราว ๆ 15-16 ปีก่อน การเจอผีครั้งแรก จุดเริ่มต้นของการเห็นผีในครั้งต่อ ๆ มา

สำหรับหลายคนที่อาจจะยังไม่ทราบ ตัวฉันนั้นหลังจากจบจากชั้นประถมปีที่ 6 ออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อมัธยมในทันที เพราะชีวิตมีเรื่องราวมากมาย ที่ทำให้เกิดเป็นอุบัติเหตุต่าง ๆ นานา จนกระทั่งต้องมาเลื่อน แล้วเลือกเรียนต่อในภายหลังแทน

ตั้งแต่อายุ 11 -12 ปี เป็นต้นมา จนถึงก่อน 17 ปี จึงเป็นช่วงที่ต้องออกมาใช้ชีวิต ในโลกของวัยทำงานอย่างเต็มตัว แม้จะยังไม่ถึงเวลาก็ตาม ประกอบอาชีพเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไป 

ในยุคสมัยโน้น แม้ว่าพ่อเองจะอยู่ในฐานะของปู่จารย์ เป็นมัคทายก ผู้เชี่ยวชาญพิธีกรรมทางศาสนา ประกอบสร้างเครื่องรางของขลัง ผู้คนให้การยอมรับ เป็นคชที่เรื่องลือ ใช้คาถาอาคม ดูฤกษ์ดูยาม ทำงานด้านโหราศาสตร์ไปด้วย แต่ก็สวนทางกับการหาเงินทอง

ในด้านบวก คนที่เคยมาหาพ่อก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ เกิดความนับถือศรัทธาในตัวพ่ออย่างมาก มีการพึ่งพาพาอาศัย เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันอย่างดี ดังที่มีคนแสดงความยินดีจะยกที่ดินให้ปลูกบ้านบ้าง ขอเชิญไปอยู่ในหมู่บ้านใหม่บ้าง ข้าวปลาอาหารก็ไม่ถือว่าขาดแคลน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะแต่ละปี จะมีคนเอาข้าวเปลือกข้าวสารมาให้เป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่ต้องพยายามวิ่งหาเองมากนัก

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็คืออยากจะบอกไปถึงว่า แล้ววันหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวในชีวิต เมื่อยู่กันไปจึงมีวันที่ฉันทะเลาะกับพ่ออย่างจริงจังเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่แม่ไม่เข้าข้างฉันเลยจากปกติที่แม่จะคอยอยู่ด้านหลังตลอด และวันนั้นแหละ ที่ฉันได้พบกับ “ผีไร้หน้า”

ในตอนก่อนหน้า ฉันเล่าถึงผีที่พ่อกับพี่ ๆ พบเจอด้วยกันเป็นประจำ ในวันนั้นฉันก็เดินไปตามถนนสายนั้นนั่นแหละ และผ่านจุดเกิดเหตุนั้นไป ด้วยความเร่งรีบที่จะไปตามพ่อให้แม่

แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงบ้านหลังนั้น (หลังที่พ่อมาเที่ยว) ที่มีจักรยานของพ่อจอดอยู่บนลานข่วง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮา สนุกสนาม เสียงแก้วเสียงขวด ฉันรู้ทันทีว่า พ่อคงจะติดลมกับกลุ่มเพื่อนเข้าให้แล้ว

พ่อเป็นคนชอบกินเหล้า แต่ตลกร้ายคือ แม่เกลียดคนกินเหล้า ไม่ชอบให้พ่อกินเหล้าอย่างยิ่ง เมื่อบอกพ่อว่าแม่ให้มาตาม พ่อก็หัวเราะอย่างรื่นเริงอยู่ดี บวกกับมีท่าทีที่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แล้วบอกว่า เดี๋ยวจะรีบไป ให้ตัวฉันกลับบ้านก่อนเถอะ ประจวบกับท้องฟ้ามืดลงแล้ว 

การที่พ่อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ห่วงสังสรร ไม่สนใจว่าฉันจะเดินกลับในความมืดยังไง ทำให้ฉันขุ่นมัวอยู่ในใจ แต่ท้ายที่สุด ฉันก็ตัดสินใจคว้าจักรยานของพ่อขี่ออกมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อขี่มาถึงตรงสะพาน และสามแยกนั้นที่เคยมีเรื่องเล่ากันมากหลาย ว่ากันว่ามีผีหลายตัว พ่อเองก็ได้ไปเลี้ยงผีแถวนั้นบ่อยครั้ง

อย่างไรก็ดี ฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องผีมากนัก เมื่อเหลือบไปเห็นคนเสื้อขาว ๆ นั่งอยู่ ก็ยังนึกอุ่นใจ ว่าในความมืดของถนน ยังมีคนให้เห็นเป็นเพื่อน

อากาศค่อนข้างเย็นยะเยือก ฉันเห็นร่างนั้นแต่ไกล และความคิดที่แว่บเข้ามาก็คือ สงสัยจะเป็นคนเมาเสียรึป่าว เพราะนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน คนดีๆ ไม่ควรมานั่งตากลมหนาวอยู่แบบนี้

แต่ขณะที่ฉันจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกนั่นเอง ในระยะใกล้มาก ๆ พอที่จะมองเห็นว่าร่างนั้นแบบชัด ๆ นั่นไม่ใช่คนเมา และเขาไม่ใช่แม้แต่มนุษย์ ฉันยังจดจำภาพนั้นได้อย่างขึ้นใจ ภาพจำยังคงชัดเจน และสมองกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในความช็อค 

ทันใดนั้น ร่างนั้นเหมือนกับรู้ความคิดของฉัน

ร่างนั้นเคลื่อนไหวเล็กน้อย อย่างช้า ๆ ซึ่งตอนนั้นแหละที่ทำให้ฉันผ่อนจักรยานให้ช้าลงอัตโนมัติ 

ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และมองเขม็งจ้องมา สาบานได้ว่า ฉันรู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังจ้องมาจริง ๆ จนกระทั่งฉันตระหนักได้ว่าเปล่า…นี่ไม่ใช่การจ้อง เพราะสิ่งที่ฉันเห็นเต็มตาคือ ใบหน้าที่ขาวโพลนจนแทบเหมือนดวงจันทร์วันเพ็ญสว่าง

ผีไร้หน้า

เป็นใบหน้าที่ขาวกระจ่าง มันมีเพียงใบหน้า ไม่มีคิ้ว ตา จมูก ปาก ไม่มีอวัยวะอะไรเลย  มันเป็นเพียงใบหน้าที่มีแผ่นเนื้อเรียบ ๆ เหมือนกระดาษสักแผ่น เท่านั้นเอง นั่นยิ่งทำให้ฉันสติแตกเข้าไปใหญ่

ใจฉันหายวูบ มันไม่ใช่คน ทุกอย่างรันแบบอัตโนมัติ ฉันออกแรงปั่นจักรยานจนสุดฝีเท้า ไวที่สุดในชีวิต

แน่นอนว่าบ้านของฉันไกลเกินกว่าจะฝ่านาทีนี้ไปได้ จึงตรงดิ่งเข้าไปจอดที่บ้านเพื่อน และนอนที่นั่นแทนตลอดทั้งคืนด้วยความผวา

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันออกมาจากบ้านเพื่อนตอนสาย ๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ได้เล่าให้เพื่อนฟังเกี่ยวกับร่างที่ไร้ใบหน้า ภาพเหล่านั้นยังคงติดตา เพื่อนก็พลอยตกอกตกใจไปด้วย และว่าฉันต้องระวังตัวให้มาก การเห็นผีเป็นตัว ๆ ไม่ใช่เรื่องดี เล่าไปก็ขนลุกกันไป

พ่อตอบคำถามอีกว่า ผีตัวนั้นคงจะอยู่ที่ของมันตามปกติ เหมือนเป็นกิจวัตร แต่เราต่างหากที่ผ่านไปในโลกของมันชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในจังหวะโอกาสสั้น ๆ ผีก็ฉวยโอกาสของมัน ในการแสดงอภินิหาร สร้างความหวาดกลัว แล้วบังเอิญว่าคืนนั้นพ่ออยู่ในช่วงดวงตกจิตอ่อนแอ พอดิบพอดี อย่างไรก็ดีพ่อพูดต่ออีกว่า ตัวฉันนั่นล่ะ ถ้าเคยได้เห็นผีไร้หน้าแล้ว ต่อจากนี้ก็อย่าได้กลัวผีอีกต่อไปเลย

“เพราะหลังจากนี้ไป ลูกจะได้เห็นผีอีกเรื่อยๆ แบบพ่อแม่นี่ล่ะ”

ขอบคุณที่มาจาก :  การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ขอบคุณรูปภาพจาก : ผีไร้หน้า