เรือนไทยที่โคราช

เรือนไทยที่โคราช เรื่องเล่าสุดหลอนปี 2023

พบกับเรื่องราว เรือนไทยที่โคราช เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าขนหัวลุกอย่างมาก เรื่องราวของสถานที่สุดหลอนที่น่ากลัวสุด ๆ

เรื่องราวสุดหลอน เรือนไทยที่โคราช 

เรือนไทยที่โคราช เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็น เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่จังหวัดนครราชสีมา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว กับผู้ชายคนหนึ่งโดยผมจะให้นามสมมุติแกว่าพี่วัฒน์

ซึ่งชื่อเต็มๆ ของแกชื่อ “ประวัฒน์” แต่หลายๆ คนก็จะเรียกแกว่า “พี่วัฒน์” จนติดปาก

ตัวพี่วัฒน์เองนั้นภูมิลำเนาเดิมของแก แกเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างโดยจะเน้นไปที่งานก่อสร้างพวกถนนต่างๆ อยู่มาวันหนึ่งแกก็ได้รับการติดต่องานผ่านทางโทรเลข โดยผมจะต้องขอบอกก่อนนะครับว่าในสมัยนั้นไม่ได้มีโทรศัพท์ใช้กันทุกคนเหมือนทุกวันนี้ การติดต่องานส่วนใหญ่ในสมัยนั้นจึงใช้โทรเลขเป็นหลัก และในตัวเอกสารก็ได้มีข้อความเขียนไว้ประมาณว่า “เรียนคุณประวัฒน์ ให้ไปดูแลถนนที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่อย” หลังจากนั้นพี่วัฒน์แกก็รับงานและก็เริ่มเดินทางไปดูงาน

เรือนไทยที่โคราช
ใช้เพื่อประกอบบทความ

ในรอบแรกนั้นพี่วัฒน์ได้เดินทางไปกับเพื่อนของพี่วัฒน์สามคน เพื่อเป็นการตรวจหน้างานก่อนเข้าคร่าวๆ ก่อนที่จะนำคนงานไปจริง หลังจากพี่วัฒน์แกดูสถานที่ทำงานเสร็จ แกก็เริ่มมองหาที่พักที่จะอยู่ในระหว่างที่ทำงานในจังหวัดนครราชสีมา พี่วัฒน์แกก็เดินไปหาทั่วทั้งตลาดบ้าง มาขายของชำบ้าง จนไปเจอกับป้าคนหนึ่งแกก็ทักว่า “หนุ่มๆ แกมาจากกรุงเทพฯ กันใช่มั้ย ถ้ากำลังมองหาที่พักก็ให้ลองไปร้านกาแฟดู จะมีเจ้าของที่พักมาชอบมานั่งกินกาแฟกัน” โดยตัวป้าเองก็เสนอที่จะเป็นคนไปส่งถึงร้านกาแฟ และตัวของพี่วัฒน์ก็ได้ตอบตกลงโดยไม่ได้สงสัยอะไร แถมยังรู้สึกขอบใจเสียด้วยซ้ำ

เมื่อพี่วัฒน์มาถึงร้านกาแฟ พี่วัฒน์ก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปถามคนที่นั่งอยู่ในร้านว่าพอจะมีที่พักให้แกบ้างมั้ย ก็มีลุงคนหนึ่งได้ตอบตกลงและให้พี่วัฒน์มาคุยรายละเอียดกันต่อที่บ้านของลุง พี่วัฒน์และเพื่อนสามคนก็ได้ตอบตกลงและตามลุงไปที่บ้าน เมื่อลุงพามาถึงที่พักของแก ที่พักของลุงแกก็เป็นตึกแถวเก่าๆ ติดกันไม่ได้หรูหราอะไร เมื่อถึงห้องของลุง ลุงก็ไม่รอช้าที่จะนำเอกสารต่างๆ มาเปิดให้ดู โดยตัวลุงก็ได้แนะนำมาหนึ่งที่เป็นที่ที่สวยมากและก็ใหญ่มากด้วย ลุงก็ได้เสนอให้ลองไปดูกันก่อน ตัวของพี่วัฒน์นั้นก็ได้ตกลงในทันที เพราะตัวพี่พี่วัฒน์นั้นไม่ได้ต้องการอะไรมากขอแค่มีที่ให้พักก็เพียงพอแล้ว

หลังจากนั้นตัวของลุงก็นั่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะมองไปที่ตัวของพี่วัฒน์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เอ็งไม่กลัวผีใช่ไหม?” พี่วัฒน์ก็ตอบกลับไปว่า “ผมก็ไม่ได้ไม่กลัวนะครับแต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ เพราะผมเชื่อว่าถ้าผมไม่ยุ่งกับเขา เขาก็ไม่มายุ่งกับเราเหมือนกัน” หลังจากคุยธุระเรื่องบ้านกันเสร็จ ลุงก็ได้เสนอให้พี่วัฒน์นอนพักที่นี่ก่อนพรุ่งนี้เช้าลุงจะพาไปดูบ้านอีกที

บ้านร้าง
ใช้เพื่อประกอบบทความ

เมื่อถึงเวลา 7 โมงเช้าของอีกวันหนึ่งก็ได้พาพี่วัฒน์และเพื่อนๆ ไปดูบ้าน ลักษณะของบ้านเป็นบ้านหลังใหญ่ตามที่ลุงได้พูดไว้แต่ตัวของบ้านนั้นเป็นบ้านทรงไทย แต่ก็เป็นบ้านที่ไม่ได้ไทยจ๋า เพราะว่าภายนอกบ้านก็ยังมีการตีรั้วออกมาและยังมีสวนอยู่หน้าบ้านก่อนที่จะเข้าไปในบ้านก็จะมีศาลพระภูมิตั้งอยู่ตรงทางเข้าตัวบ้านเป็นบ้านยกสูงมีใต้ถุนแล้วก็มีบันไดขึ้นไปยังตัวบ้าน สามารถขึ้นได้ทั้งข้างหน้าและก็ข้างหลัง เมื่อขึ้นไปแล้วพื้นที่ตรงกลางจะเป็นส่วนโล่งและก็จะมีเรือนติดกันอยู่สามเรือนตรงกลางซ้ายและขวา

ตัวพี่วัฒน์ก็ไม่รอช้าที่จะสำรวจบ้าน พี่วัฒน์ก็สังเกตเห็นว่าบ้านนี้น่าจะไม่ได้มีคนมาอยู่นานมากเพราะว่ามีทั้งขี้นกหยากไย่เต็มไปหมดแต่ดูตามฮวงจุ้ยอะไรแล้วพี่วัฒน์ตอบว่าค่อนข้างโอเคไม่ได้แย่มาก พอตัวบ้านมีความสวยงามอยู่แล้วแต่แค่ฝุ่นมันเยอะแค่นั้นเอง

พี่วัชก็ไม่รอช้าตัดสินใจเช่าที่นี่ทันที หลังจากนั้นพี่วัฒน์ก็ได้ถามเรื่องค่าเช่าว่าราคาเท่าไหร่ แต่ตัวลุงเจ้าของบ้านนั้นกลับตอบมาว่า “ลองอยู่ให้รอดก่อน” แต่ตัวพี่วัฒน์เนี่ย แกก็ไม่ยอมเพราะว่าแกเป็นนักธุรกิจด้วยแกก็อยากที่จะจ่ายค่าเช่า ลุงก็ตอบไปว่า “งั้นลุงคิดหนึ่งร้อย” (หนึ่งร้อยเมื่อห้าสิบปีที่แล้วก็ถือว่าไม่น้อย) แต่ตัวพี่วัฒน์ก็ยังตกใจในราคาเพราะว่าราคาหนึ่งร้อยเทียบกับบ้านเรือนไทยขนาดนี้ถือว่าถูกมาก ตัวพี่วัฒน์ก็ตอบตกลงแล้วได้เดินทางกลับไปที่กรุงเทพฯ เพื่อที่จะนำลูกน้องกลับมาทำงาน

ตัวพี่วัฒน์และลูกน้องก็เดินทางมาถึงบ้านเรือนไทยจะได้ขนของลง ไม่ว่าจะเป็นปูนอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ หลังจากเสร็จทุกอย่างแล้วพี่วัฒน์ก็ได้เรียกลูกน้องทุกคนมาร่วมกัน พี่วัฒน์ก็ได้พูดว่า “ตอนตัวเองอยู่เองก็อดทนกันหน่อยนะ ลุงเจ้าของที่เนี่ยเขาก็เตือนมา อย่าไปลบหลู่หรือไปทำอะไรไม่ดีนะเพราะว่าผีที่นี่ค่อนข้างดุ” แต่ด้วยความที่คนงานในสมัยก่อนนั้น อายุไม่ได้เยอะอายุประมาณสิบสามสิบสี่เท่านั้นเอง ก็ยังมีความเก่งกล้า ปากก็พล่อย พูดขึ้นมาว่า “ไหนว่าผี! ออกมาเลย เดี๋ยวจะแก้ผ้าโชว์เลย” ตัวพี่วัฒน์เองก็เอือมระอาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ตัวพี่วัฒน์เองเนี่ยก็ไม่ได้เชื่อเรื่องผีหรอกแต่แกก็ไม่ได้เป็นคนที่ลบหลู่ อีกอย่างที่ที่เราไม่อยู่ก็ไม่ใช่ที่ของเรา หลังจากนั้นพี่วัฒน์ก็ไล่ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวซื้อคงซื้อของ

ในระหว่างนั้นก็เหลือแค่พี่วัดที่อยู่บ้านเพียงคนเดียว พี่วัฒน์ก็มีความรู้สึกกลัวขึ้นมา ด้วยลมด้วยอะไรที่พัดบ้านด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้ก็ดังสนั่น พี่วัฒน์ก็นึกในใจว่าเมื่อไหร่มันจะกลับมาว่ะ เพราะลูกน้องกลับมาถึงพี่วัฒน์ก็ให้ลูกน้องไปทำกับข้าวมานั่งกินกัน ในระหว่างที่ทำกับข้าวเนี่ยพี่วัฒน์ก็สังเกตเห็นว่าศาลพระภูมิข้างหน้าค่อนข้างเก่า ไม่ได้มีใครมาบูชามานาน หลังจากนั้นพี่วัฒน์ก็ได้เรียกลูกน้องคนหนึ่งมาช่วยกันบูรณะศาลพระภูมิศาลที่เอียงก็ช่วยตั้งให้มันตรงหาไม้มาดาม เอาดอกไม้มาวางจุดธูปแล้วปักไหว้

แล้วก็ขอพรในใจว่า “ฝากคุ้มครองด้วยนะ ขอมาอยู่สักพัก ดูแลลูกช้างด้วย” เย็นนั้นทุกคนก็ได้กินข้าวกันตรงลานตรงกลางโล่งๆ ที่อยู่ระหว่างเรือนสามเรือนบนบ้านทุกคนก็นั่งถือตะเกียงกันล้อมวงกินข้าวกันประมาณสิบกว่าคน ทุกคนก็ต่างหาเรื่องพูดกันแน่นอนว่าเรื่องที่พูดยังไงก็ไม่พ้นเรื่องผีแน่นอน ระหว่างนั้นก็มีลูกน้องคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นพี่สาวเนี่ย ถ้าเจอหน้าจะจับทำเมียเลย” พี่วัฒน์ก็บอกให้ลูกน้องใจเย็นๆ เนี่ยไม่ผ่านคืนแรกเลยปากพล่อยกันซะแล้ว แต่แน่นอนไม่มีใครฟังพี่วัฒน์เพราะมีคนหนึ่งพูดอีกคนก็พูดตามจนเรื่องผีก็กลายเป็นเรื่องที่ตลกไปเลยในวงกินข้าวตอนนั้น

หลังจากที่ทุกคนพูดเรื่องนั้นกันได้ไม่นาน ข้าวก็กินกันยังไม่หมด พายุฟ้าฝนก็พัดโหมกระหน่ำลมกระโชกแรงแบบอยู่ดีๆ ก็มา ตะเกียงที่ตั้งไว้ทุกอันดับหมด ทุกคนก็ได้ร่วมมือกันรีบจุดตะเกียง หลังจากที่ตะเกียงทุกดวงติดหมดแล้ว ทุกคนในวงก็สังเกตเห็นเหมือนกันหมดว่า มันมีอะไรดำๆ ลอยอยู่กลางวงกินข้าวก็ไม่รู้เหมือนเงา เงาๆ ดำๆ ก็ค่อยๆ ลอยลงมาตกกลางวงจานข้าว คนรอบวงกินข้าวทั้งสิบกว่าคนเห็นพร้อมตรงกันว่าที่ตกลงมานั้นคือหัวคน เป็นเหมือนศีรษะของผู้หญิงนั้นตกลงมาจานข้าวกระเด็นกระดอน เทียนก็ดับอีกรอบ ทุกคนด้วยความตกใจก็รีบไล่กันไปจุดเทียนให้หมด พี่วัฒน์ก็นึกในใจว่าเอาแล้วไง มึงโดนแล้วผีเขาคงมาแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เรารู้ หลังจากฝ่ายรอบที่สองติดทุกคนเคยสังเกตว่าจานข้าวที่เห็นว่ากระเด็นรอบที่แล้วเนี่ย กลับมาอยู่ที่เดิมหมดเลยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สายตาสิบสามคนเห็นเหมือนกันหมดเลย หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปนั่งกินเป็นวงเล็กๆ รู้สึกอยากให้ตัวชิดกันไว้จากที่ตอนแรกเป็นวงใหญ่ๆ

บันไดบ้านร้าง เรือนไทยที่โคราช
ใช้เพื่อประกอบบทความ

หลังจากที่ทุกคนกินข้าวกันเสร็จแล้ว พี่วัฒน์ก็บอกกับทุกคนว่าทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วให้มารวมกันอีกทีตรงลานตรงกลางอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนทำธุระส่วนตัวเสร็จทุกคนก็มารวมกันตามที่พี่วัฒน์บอก พี่วัฒน์ก็ได้ให้ทุกคนไหว้ขอโทษขอโพยขอขมากันกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปตอนแรก หลังจากที่ทุกคนไหว้กันในตอนแรกนั้นฟ้าเหมือนจะครึ้มมีพายุเข้าแต่กลับกันคืนนี้ก็ดันกลายเป็นคืนที่เงียบอีกคืนหนึ่ง พี่วัฒน์ก็นึกในใจว่าขอโทษด้วยนะลูกน้องมันก็ยังเด็กอยู่อาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง ขออภัยให้น้องๆ ด้วย หลังจากนั้นพี่วัฒน์ก็ปักธูปลงไป หลังจากที่ทุกคนทางหลังกลับ ธูปที่ปักในกระถางทุกอันร่วงแตกลงมา ทุกคนก็วิ่งพากันวิ่งขึ้นเรือน พี่วัฒน์ก็ยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าลมแรงขนาดไหนถึงจะพัดกระถางธูปที่มีน้ำหนักขนาดนั้นลงมาได้ทั้งๆ ที่ลมก็ไม่มี

หลังจากนั้นทุกคนก็พากันขึ้นนอน ตัวพี่วัฒน์นั้นนอนกับเพื่อนที่มาทำงานด้วยกัน ส่วนลูกน้องอีก 10 กว่าคนก็นอนรวมกัน พี่วัฒน์เข้าไปในห้องนอน ตัวพี่วัฒน์ก็เพิ่งมาสังเกตเห็นว่าห้องพี่วัฒน์เนี่ยมีเสาน้ำมันอยู่ พี่วัฒน์ก็นั่งสมาธิเพื่อที่จะข่มใจและสงบจิตตัวเองกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวเพื่อนวิวัฒน์ก็พูดขึ้นมาว่า “โอ๊ยมันยังไม่ดึกเลยข่มตานอนไปก็ไม่รับหรอก ไปรวมกับลูกน้องดีกว่าไหมไปนั่งพูดคุยกันดีกว่า” ตัวพี่วัฒน์และเพื่อนก็เปิดประตูออกไป เดินออกไปหาลูกน้องก็ยังเห็นว่าลูกน้องก็ยังคงนั่งคุยกันอยู่ แต่ถ้าดูสีหน้าทุกคนแล้วเนี่ยทุกคนหน้าซีดหมดเลยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยู่สุขทุกคนนอนเบียดกันแน่นเอี๊ยด พี่วัฒน์เขาก็มองและสังเกตเห็นว่าทุกคนที่นอนนั้นแก้ผ้าหมดเลย (ความเชื่อโบราณว่าถ้านอนแก้ผ้าแล้วผีจะไม่หลอก)

พอนั่งคุยกัน คุยกันยังไปไม่ได้สักเท่าไหร่ ทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนกันหมดว่ามีเสียงเหมือนคนกำลังจะขึ้นเรือนมา เสียงของขั้นบันไดที่คอยลั่นเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด หลังจากนั้นก็เป็นเสียงวิ่งไปทั่วเรือน ทุกคนก็มองหน้ากันคิดในใจว่าโจรหรือเปล่า พี่วัฒน์นั้นมีปืนและมีไฟฉาย ก็เลยเสนอตัวเองว่าจะออกไปดูให้ เพราะอยากที่จะแสดงความเป็นหัวหน้าเพราะถ้าเป็นโจรมันก็คงจะไม่ดี หลังจากนั้นเสียงกบก็ดังลั่นพร้อมเกษียณจักจั่นไม่หยุดพี่วัฒน์ก็เดินไปทั่ว เดินไปรอบๆ ลงไปทางซ้ายลงไปทางขวาเดินขึ้นบนลงล่าง พี่วัฒน์ก็ดูๆ แล้วเหมือนว่าจะไม่มีอะไรก็กำลังจะเดินขึ้นเรือน แต่ก็ได้ยินเสียง เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดคล้ายเสียงคนกำลังแกว่งอะไรสักอย่าง ในขณะที่พี่วัฒน์กำลังจะเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลงนกกาเหว่า พี่วัฒน์ด้วยความตกใจรีบพุ่งเข้าไปหาลูกน้องทันที

ทุกคนที่อยู่หน้าเสียหมด เพราะทุกคนก็ได้ยินหมด พี่วัฒน์ก็พูดขึ้นมาว่าไม่ได้การล่ะอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว พี่วัฒน์และเพื่อนก็ได้เสนอให้ทุกคนไปที่ห้องนอนของพี่เขาเพราะว่าห้องนอนนั้นมีหิ้งพระอยู่ น้องๆ ก็ยังไม่อยากจะไปบอกว่าผมยังไม่อยากจะใส่เสื้อผ้าตอนนี้ขอ นอนกอดกันอยู่ตรงนี้ก่อน พี่วัฒน์และเพื่อนก็เดินเข้าไปในห้อง ทั้งสองคนก็นั่งสมาธิกันพี่วัฒน์ก็ได้จุดธูปขึ้นมาอีกดอกหนึ่ง พี่วัชก็นึกขึ้นมาในใจว่า “พวกเรามาทำธุรกิจด้วยความสุจริต เราไม่ได้มาลบหลู่เราไม่ได้รบกวน เพราะฉะนั้นมีอะไรอย่ามาหลอกกันเลยเพราะถ้ามีอะไรก็ให้มาคุยกันต่อหน้าเลย” หลังจากนั้นประตูก็เปิดพี่วัฒน์ก็สังเกตว่ามีเหมือนขาคนเดินเข้ามา ค่อยๆ เดินเข้ามา แต่พี่วัฒน์สังเกตเห็นแล้วว่าตีนั้นไม่ได้ติดพื้น

ผีผู้หญิง
ใช้เพื่อประกอบบทความ

หลังจากนั้นก็มานั่งคุกเข่าข้างนาพี่วัฒน์ พี่วัฒน์ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงกำลังอุ้มลูก ใส่ชุดไทยโบราณ นั่งอยู่ตรงหน้าเขา หลังจากนั้นพี่วัฒน์ก็พูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่ผมได้ทำลงไปเนี่ยพอจะอภัยได้ไหม” ผู้หญิงก็พยักหน้าหนึ่งที พี่วัฒน์ก็พูดต่อว่า “ผมตั้งใจจะมาทำงานสุจริตจริงๆ ผมขออยู่ที่นี่ต่อได้มั้ย?” ผู้หญิงก็พยักหน้าอีกครั้ง พี่วัฒน์ก็พูดต่ออีก “และเมื่อกี้สิ่งที่ลูกน้องผมก็พูดจาหยาบคาย พูดจาสามหาว พอจะให้อภัยได้ไหม” หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็สะบัดหัวอย่างแรง หลังจากนั้นประตูห้องพี่วัฒน์ก็ปิดลง แล้วก็ได้ยินเสียงทันทีจากฝั่งที่ลูกน้องอยู่เป็นเสียงโหวกเหวกโวยวายเหมือนกำลังถูกอะไรหลอกสักอย่าง อย่างนั้นทั้งคืน

พอถึงรุ่งเช้าพี่วัฒน์ก็สังเกตเห็นที่ตัวลูกน้องว่ามีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด ทุกน้องก็พากันบอกว่าเมื่อคืนมีคนมารุมกระทืบทั้งคืน สิบกว่าคน หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่มีใครมานอนอีกเลยต่างแยกพากันไปนอนในที่ต่างๆ ในเมือง จนงานทั้งหมดเสร็จ ส่วนตัวพี่วัฒน์ก็อยู่ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่เจออะไรอีกเลย

จนตัวพี่วัฒน์ได้กลับมาถึงกรุงเทพฯ งานต่างๆ ของพี่วัฒน์ก็ไปได้ดี มีชีวิตอยู่ดี แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีคนที่จังหวัดนครราชสีมา โทรมาความประมาณว่า “มีจดหมายมาส่งได้รับหรือยังแต่ตัวจดหมาย ถูกส่งไปที่บ้านเรือนไทยหลังนั้น” ตัวพี่วัฒน์ก็เดินทางกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งเพื่อไปเอาจดหมาย พี่วัฒน์ดูแล้วก็ไม่เจอจดหมายหรืออะไรสักอย่าง

พี่วัฒน์ก็ได้ไปถามพี่ไปรษณีย์พี่ไปรษณีย์ก็ตอบมาว่า “ผมไปมาแล้วพี่ แต่วันนั้นผมเปิดประตูเข้าไปนะพี่ บอกขอโทษนะครับมีเอกสารมาส่ง ก็มีเสียงตอบมาจากในบ้านว่าเอาไว้ตรงนั้นแหละ ผมก็ตอบกลับไปว่าอันนี้มันต้องเซ็นรับนะครับ เขาก็บอกให้ผมไปหลังบ้าน แต่พอผมเดินไปหลังบ้านนะพี่ ผมเห็นผู้หญิงท้องกลมก้มลงมามองผมจากเรือนไทย ใครจะไปกล้าวะพี่”

แต่ในปัจจุบันบ้านเรือนไทยหลังนั้นได้ถูกรื้อทิ้งไปแล้ว และได้ถูกสร้างเป็นที่ใหม่ พี่วัฒน์ในปัจจุบันเนี่ยยังไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณนี้ครับ

ขอบคุณเรื่องราวจาก : คืนพุธ มุดผ้าห่ม