ผีเขมรที่เกาะกูด

ผีเขมรที่เกาะกูด เรื่องหลอนประสบการณ์จริง

เรื่องราวที่เราตั้งใจจะมาเล่าในวันนี้คือ ผีเขมรที่เกาะกูด จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทาง และไปพบเจอกับเรื่องราวสยองที่ไปพักที่แห่งนั้น

เรื่องราวสุดหลอน ผีเขมรที่เกาะกูด

เรื่องราวสยองขวัญ ในวันนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์จริงของสจ๊วตท่านหนึ่ง ที่เราได้ไปอ่านเจอมาจากกระทู้หนึ่ง โดยเรื่องมันมีอยู่ว่า เรื่องราวสุดหลอนนี้มันเกิดขึ้นในปลายฤดูร้อนปีหนึ่ง เมื่อ บรรดา สจ๊วตและแอร์โฮสเตสรุ่นเดียวกับผม นัดรวมพลพรรคที่มีเวลาว่างตรงกันประมาณ 10 คน จัดทริปไปเที่ยวทะเลที่เกาะกูด โดยพักที่บ้านกึ่งรีสอร์ทบนเกาะเล็ก ๆ ส่วนตัว ห่างออกมาจากชายแดนของประเทศกัมพูชาไม่มากนัก ด้วยความที่อยากทำตัวเป็น ไฮโซติดดิน พวกเราจึงทุลักทุเลเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในตอนบ่ายโดยเดินทางรถโดยสารปรับอากาศของ บขส. จากสถานีเอกมัย มาลงที่ตัวจังหวัดตราด แล้วต่อรถสองแถวไปที่ท่าเรือ เพื่อต่อเรือไปยังเกาะที่พวกเราพักอีกที ซึ่งกว่าจะถึงที่หมายก็พลบค่ำพอดี พวกเราทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยกันเป็นอย่างมาก ขนาดที่เรียกได้ว่าแทบจะคลานขึ้นบ้านพักกันเลยทีเดียว

บ้านพักที่เกาะ ผีเขมรที่เกาะกูด
รูปภาพนี้ไม่ใช่สถานที่จริง ใช้เพียงประกอบเท่านั้น

หลังจากเติมพลังงานด้วยอาหารเย็น ที่เจ้าของรีสอร์ทจัดเตรียมให้พวกเราจนอิ่มหมีพีมันกันแล้ว พวกเราจึงออกเดินสำรวจบ้านพักและบริเวณโดยรอบ ๆ มันมีลักษณะเหมือนบังกะโลชายหาดแบบโบราณทั่ว ๆ ไป คือ ยกพื้นสูงประมาณ เมตรกว่า ๆ ตัวเรือนทำด้วยไม้ มีหน้าต่างโดยรอบ ทำให้อากาศถ่ายเทปดอดโปร่งได้เป็นอย่างดี ด้านหน้าเป็นท้องทะเลสีครามเข้ากับสีฟ้าอ่อนของตัวบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี ด้านหลังอิงแอบกับเนินเขาลูกเล็ก ๆ ที่มีบรรดาพืชพันธุ์ต่าง ๆ นานา ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มากมาย เสียงสรรพสัตว์ต่าง ๆ ร้องเบา ๆ ดังออกมาจากป่าละเมาะนั้น แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ผมขนลุกด้วยความกลัวปนขยะแขยงมากที่สุด คือเสียงของตุ๊กแกที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามผนังบ้านเต็มไปหมด

ระหว่างทาง พวกเราก็ได้ไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่มาทำงานที่รีสอร์ทแห่งนี้ ทุกคนต่างก็มีอัธยาศัยอันดี ยกเว้นแต่พ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งที่มองผมและซุบซิบกันด้วยท่าทีแปลกๆ… คืนนั้น…พวกเรานั่งเฮฮาปาร์ตี้ ตากลมกันอยู่ริมชายหาด จนกระทั่งเวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนเกือบจะเที่ยงคืน จึงพากันเดินกลับเข้าตัวบ้านเพื่อพักผ่อน ด้วยความที่สนิทกันมาก ๆ แต่ละคนจึงลากเอาที่นอนหมอนมุ้งมานอนรวมกันที่ห้องใหญ่ห้องเดียว ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน…

สักพักใหญ่ ๆ เสียงจ้อกแจ้กจึงค่อย ๆ ลดระดับลงเป็นเสียงกระซิบ และกลายเงียบไปในที่สุด แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องเห็นเป็นเงาสลัวลาง ๆ เสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทำให้ผมผลอยหลับไปอย่างง่ายดาย เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมามันมี เมื่อได้ยินตุ๊กแกร้องระงมอยู่ภายนอก เสียงนั้นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เอามืออุดหูด้วยความเกลียดความกลัว…น่าแปลกที่บรรดาเพื่อน ๆ ของผมยังคงนอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  

บ้านพัก ผีเขมรที่เกาะกูด
รูปภาพนี้ไม่ใช่สถานที่จริง ใช้เพียงประกอบเท่านั้น

สักพัก เสียงตุ๊กแกก็เงียบสงบลง แต่คราวนี้กลับมีเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นมาเบา ๆ ผมพยายามฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่คำเดียว… เหมือนกับเป็นภาษาเขมร ผมก็เลยค่อย ๆ พลิกตัวมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของเสียงนั้น… ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัว ๆ ภาพลาง ๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ ชายหญิงและเด็กที่ผมเคยเจอตอนเดินเล่นเมื่อช่วงค่ำนั่นเอง… การสนทนาสะดุดหยุดลงทันที เหมือนรู้ว่ามีคนกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่ ทั้งหมดหันมาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นชา…

“อ๋อ…พวกชาวบ้านที่ทำงานกันที่นี่นั่นเอง” ผมคิดในใจพร้อมกับเอ่ยถามพวกเขาเบา ๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนที่กำลังนอนหลับกันอย่างสบายอยู่ “มีอะไรหรือครับ…มาทำอะไรกันดึก ๆ ดื่น ๆ อย่างนี้…” เสียงของผมทำให้เพื่อนบางคนเริ่มขยับพลิกตัว…เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ กำลังโงนเงนลุกขึ้นนั่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมละสายตาจากพวกเขาเหล่านั้น… พลันปรากฏภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่อยู่ข้างนอกเมื่อสักครู่ มายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของพวกเรา …ถือไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งแกว่งเล่นไปมาในมือ ผมงงงันกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าเด็กผู้ชายคนนั้นแอบปีนเข้ามาในห้องพักของพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่โดยไม่คาดคิด

หน้าต่างบ้าน ผีเขมรที่เกาะกูด
รูปภาพนี้ไม่ใช่สถานที่จริง ใช้เพียงประกอบเท่านั้น

แกเริ่มออกวิ่งไปมารอบ ๆ ห้องพัก กระโดดข้ามเพื่อนบางคนที่ยังคงนอนขวางอยู่ พลางเอาไม้ที่ถืออยู่เคาะผนังดังก๊อกๆๆ พร้อมส่งเสียงกรีดร้อง…มันดังโหยหวน จนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู ถึงตอนนี้ เพื่อน ๆ ของผมก็ตื่นกันหมดแล้ว ทุกคนต่างลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ากันด้วยความงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น…ผมพยายามร้องห้าม แต่เด็กนรกคนนั้นก็ไม่ยอมหยุด ยังคงวิ่งพล่านเคาะฝาผนังรอบ ๆ ห้องต่อไป ผมจนปัญญาจึงหันไปหาสามีภรรยาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“พี่ ๆ ช่วยมาเอาลูกออกไปหน่อยสิครับ ซนจริง ๆ ” ผมกวักมือเรียกสองคนนั้น แต่น่าแปลกที่พวกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจไยดีเลยสักนิด ว่าลูกของตัวเองกำลังรบกวนการพักผ่อนของพวกเราอยู่ “คุยกับใครที่ไหนอยู่ แล้วนี่เสียงอะไรน่ะ ใครร้องโวยวาย ใครเคาะฝาบ้าน” เสียงสั่น ๆ ของเพื่อนคนหนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นมา พร้อมหันไปมองรอบ ๆ อย่างหวาด ๆ ราวกับว่ามันมองไม่เห็นใครอยู่เลย

“อ้าว…ก็เรียกให้พ่อแม่ของเด็กนี่มาเอาลูกเค้าออกไปน่ะสิ…วิ่งเล่นอยู่ได้ ไม่หลับไม่นอน…” ผมตอบอย่างสุดจะทน จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้น อาศัยแสงจันทร์ หาทางเดินไปยังแผง สวิตช์ไฟ แล้วกดปุ่มให้ไฟมันเปิด…แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น…ห้องทั้งห้องยังคงมืดสนิท ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อน ๆ ผมก็กดปุ่มสวิตช์ไฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า แข่งกับเสียงกรีดร้องและเสียงเคาะผนังห้องของเด็กผู้ชายคนนั้น ความกดดันปะทุขึ้นจนผมไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ผมใช้นิ้วกระแทกย้ำไปที่สวิตช์ไฟอีกหลายครั้งหลายรอบ พร้อมตะโกนขึ้นอย่างสุดจะทน “ไอ้หนูหยุด…หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้…”

เมื่อสิ้นเสียงของผม แสงจากดวงไฟหลายดวงบนเพดานพลันสว่างขึ้นมาทันที เสียงอึกทึกและภาพของเด็กผู้ช้ายคนนั้น กลับหายไปในพริบตา ห้องทั้งห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง…ผมมองไปรอบ ๆ ห้องพัก เห็นบรรดาเพื่อน ๆ นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ด้วยความหวาดกลัว ผมรีบเดินไปที่หน้าต่างตรงหัวนอน เพื่อมองหาทั้งสามคนพ่อแม่ลูกนั้น แต่ก็กลับไม่พบอะไรเลย…แข็งใจมองฝ่าความมืดออกไปอีกที เห็นเงาตะคุ่ม ๆ กลุ่มหนึ่งเดินอยู่ตรงท่าเรือ พวกเขาหันมามองที่ผมอีกครั้ง ด้วยแววตาเฉยชาเช่นเคย แล้วค่อย ๆ เดินห่างออกไป จนกระทั่งลับสายตาไปในที่สุด

ศาลพระภูมิ
รูปภาพนี้ไม่ใช่สถานที่จริง ใช้เพียงประกอบเท่านั้น

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็เลยเดินลงไปดูตรงบริเวณที่เห็นพ่อแม่ลูกครอบครัวนั้นเมื่อคืน (ผมเดินไปคนเดียว เพื่อนคนอื่น ๆ กำลังสาละวนเก็บของหนีกลับกรุงเทพฯ) พบว่ามีศาลเพียงตาตั้งอยู่สองหลัง…ทำไมนะ เมื่อวานพวกเราถึงไม่มีใครเห็นศาลที่ตั้งกันอยู่ตรงนี้กันสักคน…สอบถามคนงานดูจึงทราบว่ามันถูกสร้างให้สามีภรรยาและลูกชายครอบครัวนี้ ที่นั่งเรืออพยพมาจากกัมพูชาเพื่อหนีสงครามเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่โชคร้ายที่เรือมาล่มจมน้ำตายกันหมดทั้งครอบครัว และศพถูกกระแสน้ำพัดมาเกยตรงบริเวณหาดหน้าบ้านที่พวกเราพักกันอยู่หลังนี้ ที่น่าแปลกก็คือ ไม่เคยมีใครเคยพบวิญญาณพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้มาก่อน และไม่มีใครได้พบพวกเขาอีกเลยหลังจากคืนนั้นครับ…

เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้.. เป็นยังไงกันบ้างคะ แอดไปอ่านจากหลายที่หลายแห่งแล้วก็มีคนเคยเจอเยอะพอสมควรเลย และถ้าหากมีใครที่ชอบเรื่องราวหลอน ๆ แบบนี้ เรายังมีเรื่องเล่าสุดหลอนอีกมากมายให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันอีกเยอะเลยค่ะ ติดตามกันเยอะ ๆ นะคะ

ขอบคุณเรื่องเล่าจาก : ผีเขมรที่เกาะกูด – Pantip