อาถรรพ์ ตำนานแมวโพง แมวเป้าหรือตามความเชื่อของชาวอีสานเรียกกันว่า แมวผี แมวที่ชอบเที่ยวออกหาของดิบ ของสด ๆ มากิน น่าสยดสยองสุด!!
เรื่องเล่าสยองขวัญ ตำนานแมวโพง
แมวเป้า เรื่องเล่าสุดหลอน ตำนานแมวโพง โดยเด็กร้องเป็นต้องเงียบกริบ ซึ่งในสมัยก่อนถ้าหากว่าเด็กทำตัวดื้อหรือว่าซน ร้องไห้งอแงไม่ยอมหยุดนั้น หนึ่งในสิ่งที่ผู้ใหญ่ที่มักยกมาปรามให้เด็กเงียบกริบได้สนิทราวกับรูดซิปปากก็คือคำขู่ว่า “ถ้าไม่ยอมหยุดร้องจะถูกแมวเป้า หรือแมวโพงมากินตับนั่นเอง” เพียงแค่ชื่อของแมวโพงกับแม้วเป้าก็สามารถใช้ขู่เด็กได้เป็นอย่างดีแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้เห็นตัวของพวกมันมาก่อน ในวันนี้ผู้เขียนเลยอยากจะพาคุณผู้อ่านทุกคน ไปทำความรู้จักกับเหล่าบรรดาแมวโพงหรือแมวเป้า ที่ได้รับการขนานนามกันว่าเป็นหนึ่งใน “แมวผี” ของเมืองไทย ส่วนแมวผีประเภทอื่น ๆ อาทิเช่น แมวดำและแมวผีจะกละ ซึ่งจะขอกล่าวถึงในบทความชิ้นถัดไปนี้
แมวโพง แมวป่า หรือว่าแมวผี!
สำหรับแมวโพงเป็นหนึ่งในแมวผีที่ปรากฏตัวขึ้นในหลายวัฒนธรรมทั่วประเทศไทย เช่นภาคกลางจะเรียกว่า “แมวพง” ก็คือ ชื่อเรียกของแมวตัวผู้ตัวโตขนาดใหญ่มากกว่าแมวปกติ (บางพื้นที่จะเรียกว่า “แมวป่า”) ซึ่งเป็นแมวเถื่อนที่ไม่มีเจ้าของมีนิสัยสันโดษ โดยจะชอบอยู่ตามลำพังตามสถานที่เงียบสงบ อย่างเช่น ในป่าหรือว่าป่าช้า อีกทั้งยังมีนิสัยชอบออกล่าหาเหยื่อในเวลากลางคืนอีกด้วย ในบางครั้งพบว่าแมวโพงนั้นกินลูกแมวที่เกิดใหม่เป็นอาหาร ซึ่งแมวโพงจะมีเสียงร้องที่น่ากลัว และดุดัน บางครั้งร้องคล้ายกับเสียงเด็กเล็ก ชวนวังเวงมาก จึงทำให้หลายคนเกิดความหวาดกลัวอย่างมากและชอบมีนิสัยนักเลงกัดกับแมวตัวอื่น ทำให้บ่อยครั้งที่แมวโพงจะปรากฏตัวพร้อมกับรอยแผลราวอย่างกับทหารที่พึ่งกลับมาจากสนามรบกันเลย อีกทั้งในบางครั้งก็ดุร้ายถึงขนาดทำร้ายมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กอ่อนด้วยอุปนิสัยที่น่ากลัว โดยทำให้แมวโพงมักถูกนำมาใช้ในการหลอกเด็กให้เชื่อฟังนั่นเอง
หลายคนเชื่อกันว่าแมวโพง ที่จริงแล้วมันก็คือแมวธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีอุปนิสัยที่ไม่ค่อยดีนักในการแอบย่องไปขโมยหรือว่าฆ่า ลูกแมวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ อย่างเช่น เรื่องเล่าของชายคนหนึ่งที่เกี่ยวกับแมวโพงว่า แมวที่บ้านของเขานั้นพึ่งคลอดลูกใหม่ ทั้งหมด 3 ตัว วันหนึ่งไม่มีคนอยู่บ้านเลย พอกลับไปถึงปรากฏว่ามีแมวแปลกหน้าตัวหนึ่งอยู่แถวบ้านและพอเห็นหน้าปุ๊ป! แมวตัวนั้นก็วิ่งหนีหายไปโดยทันที ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ศพของลูกแมวที่น่าสยดสยองคอขาด ขาขาด คล้ายกับถูกกัดกิน ส่วนแมวตัวแม่ก็เหมือนกับทำอะไรไม่ได้และกลัวแมวตัวนั้นมาก ทำได้เพียงแค่ร้องหง่าว ๆ อยู่ใกล้ศพของลูกที่ไร้วิญญาณเพียงเท่านั้น
แมวเป้า แมวผี ตามความเชื่อของชาวอีสาน
คำว่า “เป้า” มีความหมายถึงคน หรือสัตว์ที่ปกติกินหรือของสุกเป็นอาหาร แต่ว่ามีเหตุบางประการที่ทำให้เปลี่ยนไปชอบกินของดิบ ๆ โดยเฉพาะเหยื่อที่มีชีวิตแบบที่จับได้แล้วจะกินกันสด ๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการปรุงอาหารใด ๆ เลย ถ้าหากว่าเป็นคนจะเรียกว่า “ผีเป้า” ที่เกิดจากการใช้ว่านคุณไสย์ประเภทหนึ่งที่มีชื่อว่า “ว่านเป้า” หรือว่า “ว่านเลือด” ที่จะมีลักษณะเป็นสีแดง มีกลิ่นคาวเหมือนกับเลือด ซึ่งหลายคนที่ไม่สามารถรักษาข้อกำหนดในวิชาอาคมของตัวเองได้ หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า “ผิดข้อคะลำ” นั่นเองและมักจะถูกอาคมเข้าตัวกระทั่งกลายร่างเป็นผีเป้าเที่ยวออกหาของดิบและของสดมากิน โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านอย่างเป็ด ไก่ หรือปลาที่มีคนไปดักเอาไว้ตามไร่นาเป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อว่าหลายครั้งที่ไก่ตายยกคอกอย่างน่าสยดสยองที่จริงไม่ใช่ผีมือของผีปอบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกระทำของผีเป้าก็ได้
แมวเป้า โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทนั่นคือ แมวป่าและแมวบ้าน ดังนี้
- แมวเป้า ประเภทแมวป่า
จะมีรูปร่างคล้ายกับแมวบ้าน แต่ว่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า และขายาวกว่าเล็กน้อย มีขนสีดำ หูตั้ง ปลายหางเป็นพู่ และด้านล่างของโคนหูจะเป็นสีส้มแกมเหลือง ส่วนใต้ท้องนั้นจะมีสีอ่อนเกือบขาว โดยตามลำตัวของแมวเป้าจะไม่มีลาย แต่ขาจะมีลาย แมวเป้าบางตัวจะมีลายที่หางเป็นปล้องสีดำและหางค่อนข้างสั้น แมวเป้าจะชอบจับสัตว์เล็ก ๆ เพื่อกินเป็นอาหาร อย่างเช่นกระต่าย หนู กิ้งกือ เขียด กบ และซากสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น แต่จะชื่นชอบกระต่ายมากที่สุด จึงทำให้หลายครั้งจึงถูกเรียกว่า “เสือกระต่าย” แมวเป้ามีเสียงร้องคล้ายกับแมวบ้าน ซึ่งจะชอบอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เป็นป่าโปร่งหรือป่าละเมาะ โดยคอยแอบอยู่ตามพุ่มไม้หนา โพรงดินหรือใกล้โคนไม้ ไม่ค่อยชอบปีนขึ้นต้นไม้ ซึ่งแมวเป้าจะเป็นสัตว์ป่าสงวนในปี พ.ศ. 2535
- แมวเป้า ประเภทแมวบ้าน
ที่กลายสภาพมาเป็นเป้า เพราะว่าเจ้าของไม่ค่อยใส่ใจให้อาหารเท่าไร เมื่อเกิดความอดอยากมากเข้า แมวเหล่านี้นั้นก็จะออกล่าเหยื่ออย่างตุ๊กแก หนู กิ้งก่า เพื่อกินเป็นอาหารแบบประทังชีวิต และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าจนเกิดติดใจรสชาติของสดมากขึ้น พวกมันก็จะกลายมาเป็น “แมวเป้า” ในที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ทำให้แมวโพง แมวเป้า และแมวผี นั้นเหมือนกันคือ “แมวปีศาจ” ที่จะปรากฏตัวให้เห็นในคืนเดือนมืด โดยเป็นแมวสีดำขนาดใหญ่ ดวงตาดุแข็งกร้าวเวอร์ น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก และผู้ใหญ่สมัยก่อนก็มักจะบอกว่าพวกมันมาเพื่อจับเด็กดื้อ เด็กซนไปกินเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามแต่พฤติกรรมการฆ่าหรือการกินลูกแมว จนทำให้เกิดคำร่ำลือเกี่ยวกับแมวผีขึ้นมาโดยทั่วไปเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของแมวที่หากว่าลูกแมวตาย แม่แมวก็จะเข้าสู่ในช่วงติดสัดเพื่อพร้อมที่จะเข้าสู่ช่วงผสมพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเลยทีเดียว
แมวโพง แมวเป้า ในพิธีแห่นางแมวขอฝน
แมวโพง แมวเป้า ยังคงปรากฏตัวอยู่ในประเพณีที่คนชาวไทยรู้จักกันดีอย่างการ “แห่นางแมวขอฝน” ที่มักจะคอยจัดขึ้นเมื่อเกิดอาเพศอย่างเช่น ฝนไม่ค่อยตกตามฤดูกาลหรือไม่ตกตามเวลา จึงทำให้มีการจัดพิธีแห่นางแมวขอฝนนี้ขึ้นมาก ด้วยการนำแมวมา 1 ตัว แล้วนำใส่ในกระทอ จะมีคนหามตั้งคายขัน 5 หามโดยประกอบพิธีป่าวสัดเค เทวา เชิญเทวดาลงมาเพื่อบอกกล่าวขอน้ำฝน โดยบอกว่าจะขอฝนด้วยการแห่นางแมว แล้วสั่งให้พวกหามแห่เซิ้งไปตามถนนในหมู่บ้าน ซึ่งมีคนทั้งชายทั้งหญิงและเด็ก คอยเดินถือดอกไม้ตามไปถึงเรือนหลังไหน คนในเรือนนั้นก็ต้องเอาน้ำสาดใส่ทั้งแมวและคน จึงจะทำให้ทั้งแมวและคนต่างต้องหนาวไปตามด้วยกัน การจัดประเพณีแห่งนางแมวขอฝนในบางพื้นที่นี้จะมีการผูกเอวคนหัวล้าน 2 คน คอยทำท่าทางฮึดฮัดจะชนกันตามกระบวนแห่ไปด้วย และบางจุดก็จะหยุดขบวนเพื่อให้คนหัวล้านชนกันสลับกับร้องคำเซิ้งกับการรดน้ำไปด้วย
โดยพิธีแห่นางแมวจะเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. ไปจนถึงเวลา 20.00 น. หรือว่ารอบหมู่บ้านแล้วหยุด เชื่อกันว่าเมื่อเทวดาได้ยินการแห่นางแมวก็จะชอบอกชอบใจบันดาลให้ฝนตกลงมา ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าเกิดขึ้นหลังจากที่หยุดขบวนแห่ได้ไม่นานนัก
จากความเชื่อที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นในข้างต้นจะเห็นได้ว่าแมวโพง แมวเป้า ซึ่งมีการปรากฏตัวทั้งในความเชื่อพื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับอาถรรพ์และความลี้ลับ ในขณะเดียวกันก็จะมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่มากเพียงพอที่จะถูกนำไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ แล้วยังไปเป็นส่วนหนึ่งในคำร้องของพิธีกรรมแห่นางแมวเพื่อขอฝนอีกด้วย จึงทำให้แมวโพงและแมวเป้า ยังคงเป็นส่วนประกอบหนึ่งของความเชื่อที่อาจจะไม่เลือนหายไปตามวันเวลา เหมือนกับเรื่องลี้ลับในเรื่องอื่น ๆ นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : แมวโพง แมวเป้า ตำนานแมวผีสุดหลอน