ตำนานปอบผีฟ้า เรื่องจริงสุดสยองขวัญ

เรื่องราวลี้ลับที่มีอยู่จริง ตำนานปอบผีฟ้า ตำนานที่มีในอดีตสู่ปัจจุบันนี้ สำหรับใครที่จะคิดผิดครูหรือผิดผี เตรียมตัวกลายเป็นผีปอบได้เลย !!! 

ตำนานปอบผีฟ้า ใครที่ผิดข้อห้ามระวังตัวไว้ให้ดี !

เรื่องเล่าสยองขวัญ ตำนานปอบผีฟ้า โดยลักษณะพิเศษของผีปอบอย่างหนึ่งก็คือชอบกินของดิบ ๆ “ผีปอบ” ที่มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชาไสยศาสตร์มนตร์ดำจนแก่กล้า ทำให้สามารถใช้อำนาจอันเข้มขลังจากทางเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลายชีวิตผู้อื่นได้แบบง่าย ๆ อาทิเช่น การฝังรูปฝัง ทำเสน่ห์ยาแฝด การเสกตะปูเข้าท้อง รอยเสกหนังควาย หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณภูตผีเพื่อไปเข้าสิง โดยวิชาไสยศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย สำหรับผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงระบุว่า เป็นเดียรัจฉานวิชาจะต้องคอยระวังไม่ให้ละเมิด ข้อห้ามเด็ดขาด ข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด หากว่ากระทำผิดข้อห้าม ซึ่งชาวอีสานนั้นเรียกว่า “คะลำ” ก็จะเกิดโทษหนักในข้อการ “ผิดครู” วิญญาณบรมครูจะลงโทษให้คนนั้นกลายเป็น ปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบ ก็คือ การเล่นคาถาอาคมอย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชามนตร์ดำไปทำลายทำร้ายแก่ผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาป ไม่กลัวกรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเองจึงกลายเป็น ปอบไปในที่สุดนั่นเอง 

ตำนานปอบผีฟ้า
ภาพประกอบเรื่อง

“ผีปอบ” ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้

ปอบ ธรรมดา 

ซึ่งหมายถึงคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง (ก็คือตนเองเป็นปอบ ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไปนั้น ปอบที่สิงสู่อยู่ก็จะตายตามไปด้วย 

ปอบเชื้อ 

หมายถึงครอบครัวใดที่พ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อตายไปลูกหลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบต่อไป และอีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามแต่ เรียกว่า เป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบนั่นเอง 

ปอบแลกหน้า 

หมายถึงปอบเจ้าเล่ห์ ซึ่งจะถนัดเอาความผิดไปโยนให้แก่ผู้อื่น กล่าวก็คือเวลาไปเข้าสิงใคร เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับปอบนั้น จะไม่บอกความจริง หากว่าไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ปอบกักกึก (กึก โดยภาษาอีสานแปลว่า “ใบ้”) หมายถึงปอบที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคนถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใครหรือมีใครใช้ให้มาเข้าสิง สำหรับผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า “ปอบเข้า” 

ผีสุดหลอน
ภาพประกอบเรื่อง

ปอบเข้า

โดนปอบเข้าจะมีอาการแตกต่างกันออกไป เพราะบางคนแสดงกิริยาอาการดุร้ายบางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับว่าป่วยไข้อย่างหนัก และบางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่าง ๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีทีท่าอาการอย่างไรละก็ ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เหล่าพวกหมูตับไก่ต้มมาให้กินแบบเหมือน ๆ กับเวลากินก็จะแสดงความตะกละมูมมาม และกินได้จุผิดปกติมาก เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขานั้นก็จะไปตามหมอผีให้มาไล่ปอบ ซึ่งการไล่ปอบให้ออกจากร่างมีหลายวิธีตามแนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมา และบางคนจะเอาพริกแห้งมาเผา ให้ควันรมคนป่วยจนสำลักควันน้ำตาไหลพรากครั้นปอบให้ออกจากร่างแล้วหมอผีก็จะข่มขู่ และทำการสอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหนกัน เมื่อปอบรับสารภาพ ทางหมอผีก็จะปล่อยไป คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำ เนื่องจากถูกควันพริกเผารมจะหายไปทันทีนั่นเอง แต่ว่าเจ้าของปอบกลับมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือดจนต้องหลบหน้าอยู่แต่ในห้องไม่กลัวให้ใครพบหน้ากันเลย และอีกวิธีหนึ่งที่หมอผีทั่วไปนิยมใช้ไล่ผี ก็คือใช้หวายเพื่อเฆี่ยนไล่ปอบ ซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละ หากว่าปอบกล้าแข็งหมอผีจะเฆี่ยนหนัก ๆ กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไปร้อยหวายนั้นก็จะจางหายไปทันที แต่ว่าวิธีไล่ผีปอบแบบนี้เคยเป็นเรื่องเป็นข่าวมาแล้วด้วย 

เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิง หากแต่ว่าป่วยเป็นโรคประสาท ซึ่งญาติคิดว่าปอบ เข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่ หมอผีจึงจัดการเฆี่ยนคนป่วยด้วยหวายได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจน หลายครั้งหลายหน โดยคิดว่าปอบฮึดสู้ไม่ยอมแพ้ ในที่สุดคนป่วยก็เสียชีวิตร้อนถึงตำรวจจะต้องมาจัดการกับหมอผี และบรรดาญาติตามกฎหมาย และทางหมอผีคงติดคุกติดตะรางไปตามระเบียบ อีกวิธีหนึ่งหมอผีนั้นจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัว อาทิเช่น ตุ๊กแก งู คางคก ในกรณีนี้ คนที่ถูกปอบเข้าสิงมักจะเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิงนั่นเอง แม้จะเป็นผีปอบ (เธอ) ก็ยังขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้ และมักจะยอมออกจากร่างที่เข้าสิงแบบง่าย ๆ ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะออกยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้ เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา ในเวลาที่หมอผีจี้อ้อนกลม ๆ นี้ด้วยไพลเสกมันจะเลื่อนหนีได้ และเมื่อก้อนกลม ๆ นี้หายไป ทางหมอผีที่มีวิชาอาคมยังไม่เก่งนักมักคิดว่าปอบออกไปแล้ว แต่ที่แท้จริง ๆ แล้วนั้นปอบมันจะเลื่อนหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรือที่อวัยวะเพศ ทำให้หาไม่พบ 

สำหรับหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมเข้ามัดข้อมือ มัดข้อเท้า และรอบคอด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลม ๆ ใต้ผิวหนัง เรียกว่า ก้อนกลมนี้หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อยเวลาที่ถูกไพลเสกจี้ ซึ่งทางอีสานเรียกว่า “แทง” ปอยจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส (โดยคนที่ถูกปอบสิงจะร้องโอดครวญดังลั่น) หมอผีจะขู่บังคับให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดี หลังจากที่โดนทรมานปอบให้หวาดกลัวเข็ดหลาบแล้ว หมอผีจึงจะแก้มัดด้วยด้ายสายสิญจน์แล้วก็ปล่อยให้ปอบออกไป ซึ่งหมอผีบางรายมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือดทำให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าเป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณชนทั่วไป โดยหมอผีนั้นจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนามาแล้ว ทำการเอาหม้อดินครอบศีรษะคนถูกปอบสิงแล้ว ใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟ คล้ายกับโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ จากนั้นปล่อยให้ปอบออกจากร่าง ซึ่งวิธีการไล่ปอบแบบนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบหรือเลี้ยงปอบไว้ต้องคอยหลบซ่อนอยู่แต่ในห้องหรือเวลาออกนอกห้องไปไหน มาไหน ก็ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลา เนื่องจากเส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะแล้วนั่นเอง

ผีฟ้า
ภาพประกอบเรื่อง

ผีฟ้า

ผีฟ้า คือเป็นคำเรียก เทวดา ของชาวไทยในภาคเหนือ และของภาคอีสาน ซึ่งเป็นการบูชาแบบพื้นบ้านที่มีการนับถือผีกัน คนที่เป็นร่างทรงของผีฟ้านั้นจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นในลูก ๆ ที่เป็นผู้หญิง และเมื่อมีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยทางชาวบ้านมักนำมาให้ผีฟ้าเสี่ยงทาย และทำการช่วยรักษา ผีฟ้าจึงเป็นประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ และการทรงเจ้าเข้าผีของสังคมดั้งเดิมของคนไทย

ความเกี่ยวข้องระหว่างผีปอบกับผีฟ้าแถน

ใครที่เป็นร่างทรงของผีฟ้าแถนนั้น ห้ามแต่งงานเด็ดขาด ถ้าละเมิดกฎคนที่เป็นร่างทรงของผีฟ้าผีแถนจะกลายเป็นผีปอบทันที !!!  

ขอบคุณและรูปภาพ ที่มาจาก : ตำนาน “ปอบผีฟ้า”